เกมนิรโทษกรรม เกมที่ไม่ขำของประชาชน

คริส โปตระนันทน์

กฎหมายต่างๆที่ประกาศใช้ในอารยประเทศมักเป็นผลลัพท์ที่สืบเนื่องจากกลุ่มผลประโยชน์ที่มีการต่อรองกันผ่านกระบวนการทางการเมืองไม่ว่า จะเป็น สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา ล้อบบี้ยิสต์ทั้งหลาย องค์กรภาคประชาชนต่างๆ รวมถึงประชาชนเอง เพราะฉะนั้น การที่พรรคเพื่อไทยพยายามผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อประโยชน์ของกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทหาร ทักษิณ ผู้นำการชุมนุมฝ่ายเสื้อแดงและเสื้อเหลืองนั้นเป็นเรื่องปกติ การที่อดีตนายกทักษิณจะได้กลับหรือไม่ได้กลับ ได้เงินคืนหรือไม่ได้้เงินคืนก็เป็นเรื่องปกติที่ต้องมีการต่อรองกันกับทุกๆฝ่าย (คดีความของทักษิณทั้งที่ตัดสินแล้วและยังไม่ได้ตัดสินยังมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมายอยู่มากเนื่องจากคดีความส่วนใหญ่นั้นมีคตส.ที่ถูกตั้งโดยคณะรัฐประหารเป็นโต้โผ) แต่ที่ไม่ปกติและไม่มีประเทศใดในโลกทำกัน ก็คือการที่รัฐบาลพยายามจะยำความผิดทุกอย่่างของทุกฝ่ายมารวมไปถึง การยกเว้นโทษของความผิดที่ก่อให้เกิดการเสียชีวิตของผู้ชุมนุม เพื่อแลกกับการยกเว้นความผิดของอดีตนายกทักษิณ

เกมการเมืองที่ผ่านมาตลอด 7 ปีนี้ มีการใช้ชีวิตคนเป็นเดิมพันในเกมนี้ทุกครั้ง การชุมนุมเหล่านี้ ผู้นำการชุมนุมทุกครั้งหวังผลให้มีการกระทบกระทั่งของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และกลุ่มมวลชนเพื่อให้มีผู้เสียชีวิต เพื่อจะหวังให้มีการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง ซึ่งก็มีทั้งที่การชุมนุมที่มีผู้เสียชีวิติและไม่มีผู้เสียชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมไล่ทักษิณของเสื้อเหลืองในปี 2548 การเริ่มก่อตั้งมวลชนเพื่อสนับสนุนพรรคไทยรักไทยในปี 2549 จนกลายเป็นมวลชนเสื้อแดงในปี 2552  จะเป็นการออกมาแสดงพลังของเสื้อเหลืองต่อรัฐบาลสมัครสุนทรเวชในปี 2551 (ผู้เสียชีวิต 8 ศพ) การชุมนุมของเสื้อแดงเมษายนปี 2552 เพื่อต่อต้านรัฐบาลอภิสิทธิ์ (ไม่มีผู้เสียชีวิต) การชุมนุมของเสื้อแดงปี 2553 เพื่อต่อต้านรัฐบาลอภิสิทธิ์ (ผู้เสียชีวิต 91 ศพ)

เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ด้วยความพยายามของพรรคเพื่อไทยที่จะออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อทำให้ความผิดที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมืองทั้งหมดที่ผ่านมา 7 ปีเป็นอันสิ้นผลไป หากดูเผินๆ อาจดูเหมือนเป็นการเริ่มต้นใหม่ของทุกฝ่าย (Set Zero) น่าจะเป็นสิ่งที่ดี แต่สิ่งที่เราเหลืออยู่อาจไม่ใช่ศูนย์ มันคือเกมการเมืองที่มีscoreเป็นศูนย์บวกกับกฎใหม่ของเกมคือ การนิรโทษกรรมสามารถทำได้

สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในเมืองไทย ไม่ใช่การครั้งแรกของการมีนิรโทษกรรม จากบทความของ อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ “นิรโทษกรรมเหมาเข่ง เห็นด้วย - ไม่เห็นด้วย”

การนิรโทษกรรมที่เกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมืองมีอยู่ 3 ฉบับ

เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 (ผู้เสียชีวิต 77 ศพ) : พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน ซึ่งกระทำความผิดเกี่ยวเนื่องกับการเดินขบวนเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2516


เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 (ผู้เสียชีวิต 46 ศพ) : พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ระหว่างวันที่ 4 ถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2519


เหตุการณ์พฤษภาคม 2535 (ผู้เสียชีวิต 52 ศพ) : พ.ร.ก.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมระหว่างวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ถึงวันที่ 21 พฤษภาคม 2535

และเป็นกฎหมาย 3 ฉบับนี้ที่กำหนดมาตรฐานการเมืองไทยไว้ คือ ชุมนุมได้ คนตายได้ ผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ต้องรับผิด(ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือผู้นำการชุมนุม) และถ้าพ.ร.บ. นิรโทษกรรมออกมาได้สำเร็จจะเป็นการย้ำชัดๆว่า
กฎเกณฑ์ของเกมในเมืองไทยคือ เกมการเมืองระบบประชาธิปไตยไทยๆ บวกกับการนิรโทษกรรม

การชุมนุมเหล่านี้มีีรูปแบบคล้ายกันคือ ฝั่งผู้นำการชุมนุมจะชุมนุมบนถนน มีการเข้าปิดสถานที่ราชการ เพื่อบีบบังคับให้รัฐบาลลาออก ยุบสภา หรือแสดงพลังกดดันเพื่อให้มีการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง ส่วนฝั่งรัฐบาลจะต้องเลือกระหว่างการสลายการชุมนุมด้วยการใช้กำลังหรือการจัดการผู้ชุมนุมด้วยสันติวิธี
บทความนี้จะอธิบายถึง ผลกระทบของพ.ร.บ.นิรโทษกรรม และ แสดงเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงไม่ควรออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ด้วยทฤษฎีเกมอย่างง่ายๆด้วย ตาราง Matrix 2X2

ท่านผู้อ่านบางท่านที่ไม่คุ้นเคยกับ ทฤษฎีเกม (Game Theory) อาจไม่เห็นว่า ตารางสี่เหลี่ยม สองคูณสอง ทำไมถึงเอาไปวิเคราะห์เกมการเมืองระดับประเทศที่มีความซับซ้อนมีปัจจัยต่างๆมากมาย  ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ที่ตัดสินใจ สิ่งที่เราวิเคราะห์จากทฤษฎีเกมนั้นไม่อาจอธิบายทุกสิ่งได้หมด แต่ส่ิงที่เราได้จากกล่องส่ีเหลี่ยมนี้คือ ถ้าผู้เล่นมีผลตอบแทนตามตารางดังกล่าว ผู้เล่นย่อมเลือกที่จะทำตามที่ตัวเลือกที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด นอกจากนี้เรายังสามารถกำหนดสถานการณ์สมมติในกรณีมีเหตุการณ์ที่ทำให้ผลตอบแทนของผุ้เล่นตามตารางผลตอบแทน (payoff matrix)เปลี่ยนไป การกระทำของผู้เล่นก็ย่อมจะเปลี่ยนไปด้วย และในที่นี้ เรามีพ.ร.บ.นิรโทษกรรมเป็นปัจจัยที่จะเปลี่ยนให้ผลตอบแทนของเมตริกซ์เปลี่ยนไป


สถานการณ์ที่กำหนดขึ้นมีสมมุติฐานดังนี้

1. แกนนำผู้ชุมนุม(Protester) เป็น ผู้เล่นที่ตัดสินใจแทนผู้ชุมนุมทั้งหมด
แกนนำรัฐบาล(Government) เป็น ผู้เล่นที่ตัดสินใจแทนเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งหมด
2. ผู้เล่นจะเลือกการกระทำที่ให้ผลตอบแทน (Pay-off หรือ Utility) ที่มากกว่าเสมอ เช่น ตัวเลือก A ให้ผลตอบแทน 5 มากกว่าตัวเลือก Bที่ให้ผลตอบแทน 0 กรณีนี้ผู้เล่นจะเลือก ตัวเลือก A เสมอ
3. ผู้เล่นมีข้อมูลในการตัดสินใจครบ รู้ผลตอบแทนของตนเองและของฝั่งตรงข้าม (Complete information)
4. การใช้ความรุนแรงของทั้งฝั่งผู้ชุมนุม และรัฐบาลทำให้บรรลุเป้าหมายของฝั่งตนเองได้ง่ายกว่า ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า (ในกรณีฝ่ายไม่ใช้กำลัง)
5. ระบบกฎหมายในเกมที่ 2 มีประสิทธิภาพพอที่จะป้องกัน(Deter)ไม่ให้ผู้้้เล่นกระทำความผิดได้ (สามารถลดผลตอบแทนได้มากพอที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้เล่นได้ )

วิธีการเล่น
1. ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายเลือกการกระทำของตนเองพร้อมกัน
2. แกนนำผู้ชุมนุมมีทางเลือกสองทางระหว่าง “การชุมนุมที่มิชอบด้วยกฎหมาย” กล่าวคือ มีการใช้ความรุนแรง ปิดถนน ยึดสถานที่ราชการ มีการใช้อาวุธ (ในตารางแทนด้วย “Force”) กับ “การชุมนุมโดยสงบ” อย่างสันติวิธี ปราศจากความรุนแรง (ในตารางแทนด้วย “Peace”)
    รัฐบาลมีสองทางเลือก ระหว่าง “สลายการชุมนุม” ด้วยความรุนแรง กล่าวคือ สลายการชุมนุมโดยไม่ได้สัดส่วน ใช้ทหารที่ไม่ได้ผ่านการฝึกการควบคุมฝูงชน ใช้อาวุธสงครามในการสลายการชุมนุม (ในตารางแทนด้วย “Force”) และ “ดูแลการชุมนุม” ด้วยวิธีการที่สันติ ได้สัดส่วน เพื่อให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุด (ในตารางแทนด้วย “Peace”)
3. เป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดของแกนนำผู้ชุมุนุมคือ “รัฐบาลล้ม” นั่นหมายถึง ผลตอบแทนจะสูงที่สุดหากไล่รัฐบาลสำเร็จ โดยไม่ต้องรับโทษทางกฎหมาย
    เป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดของแกนนำรัฐบาล คือ  “รัฐบาลอยู่ในอำนาจต่อไป”   นั่นหมายถึง ผลตอบแทนจะสูงที่สุด หากอยู่ในอำนาจได้ โดยไม่มีการประท้วง และไม่ต้องรับโทษทางกฎหมาย


เกมที่ 1
สถานการณ์ปัจจุบันของเมืองไทย เกมที่ผู้้เล่นทั้งสองฝ่ายไม่ต้องรับผิดทางกฎหมาย (กรณี พ.ร.บ. นิรโทษกรรม)



กรณีเห็นได้ชัดว่า เกมนี้เป็นเกมในรูปแบบของ Prisoner dilemma

การที่สองฝั่งเลือกที่จะใช้กำลัง (Force, Force)
คือให้ผลตอบแทนน้อยที่สุด คนละ 3 หน่วยเนื่องจากความสูญเสียที่สองฝ่ายจะได้รับ กล่าวคือมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากเมื่อทั้่งสองฝั่งใช้กำลัง และเมืิ่อทั้งสองฝ่ายใช้ความรุนแรงก็ไม่มีความแน่ชัดว่าใครจะชนะ เพราะฉะนั้น โอกาสที่รัฐบาลที่จะล้มจึงมี แต่ไม่แน่นอน

ฝั่งใดฝั่งหนึ่งเลือกที่จะใช้กำลัง แต่อีกฝั่งเลือกสันติวิธี {(Force, Peace) หรือ (Peace, Force)}
ฝั่งที่ใช้กำลังจะได้ผลตอบแทนสูงที่สุดคือ7 หน่วย
7 หน่วย ในที่นี้สำหรับฝ่ายแกนนำผู้ชุมนุมคือ รัฐบาลล้ม และสำหรับฝั่งรัฐบาลคือ สลายการชุมนุมสำเร็จ ได้อยู่ในอำนาจต่อไป
ฝั่งที่เลือกสันติวิธี จะผลตอบแทนต่ำที่สุดคือ 0 หน่วย สำหรับฝั่งแกนนำผู้ชุมนุม คือ โดนสลายการชุมนุม ไม่ได้แสดงออกทางความคิดเห็น สำหรับทางฝั่งรัฐบาล คืิอ รัฐบาลล้ม

ทั้งสองฝ่ายเลือกสันติวิธี (Peace, Peace)
กรณีนี้ได้ผลตอบแทนคนละ 5 หน่วย กล่าวคือทั้งสองฝ่ายจะต้องทนๆกันไป คือผู้ประท้วงก็ต้องทนรัฐบาลที่ไม่ล้ม (ผลตอบแทนคือ 5 น้อยกว่า 7 กรณีใช้ Force แล้วรัฐบาลล้ม) แต่ก็ยังดีกว่าการที่จะต้องสูญเสียอย่างมาก( 5 มากกว่า 3 กรณีเลือก Forceทั้งคู่)  รัฐบาลก็ต้องอดทนที่จะใช้วิธีการชุมนุมอย่างสันติ เช่น มีการเจรจาต่อรอง ใช้วิธีการดูแลการชุมนุมแบบได้สัดส่วน ซึ่งผลที่ได้มักจะช้า ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของรัฐบาลได้อย่างรวดเร็วเหมือนการใช้กำลัง รัฐบาลต้องทนให้คนวิพากษ์วิจารณ์ (ผลตอบแทนคือ 5 น้อยกว่า 7 กรณีที่รัฐบาลล้ม) ซึ่งกรณีนี้ก็ยังดีกว่าการที่จะต้องสูญเสียอย่างมาก( 5 มากกว่า 3 กรณีเลือก Forceทั้งคู่) กรณีนี้ได้ผลตอบแทนคนละ 5 หน่วย


Nash Equilibrium  คำตอบของเกม
อย่างไรก็ดี ดูเหมือนสิ่งที่สังคมต้องการตัวเลือกสุดท้ายที่ ทั้งคู่ใช้่สันติวิธี ผลตอบแทนรวมของทั้งสองฝ่าย(5+5) คือ 10 หน่วยซึ่งมากที่สุดในเกมนี้ แต่อย่างไรก็ดี กรณีนี้เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายล้วนมีตัวเลือกอื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า ( Profit deviation)

ตัวอย่าง ถ้ากรณีอยู่ที่ช่องสุดท้าย (Peace, Peace)
คือ ทั้งสองฝั่งเลือก peace ฝั่งรัฐบาลจะเปลี่ยนจาก Peace เป็น Force เนื่องจากผลตอบแทนที่สูงกว่าคือ 7 หน่วยซึ่งมากกว่า 5 หน่วย
พอมาดูฝั่งแกนนำ แกนนำการชุมนุมก็จะเปลี่ยนไปเลือก Force เช่นกัน

ตัวอย่าง {(Force, Peace) หรือ (Peace, Force)}
ก็ไม่ทางเป็นคำตอบของเกมเช่นกัน
กรณีที่ฝั่งหนึ่งเลือก peace อีกฝั่งหนึ่งเลือก Force ฝั่งที่เลือก Peace จะเปลี่ยนไปเลือก Force เท่านั้น เนื่องจากผลตอบแทนที่มากขึ้นจาก 0 หน่วยเป็น 3  หน่วย

แต่สำหรับจุดดุลยภาพคือ คำตอบที่ดีที่สุดที่ทั้งสองฝ่ายไม่มีทางที่จะเปลี่ยนไปเลือกคำตอบอื่น จะเห็นได้ชัดว่า คือ (Force, Force)
ตัวอย่างแรก แกนนำผู้ชุมนุมรู้แล้วว่า ถ้ารัฐบาลเลือก Force แกนนำผู้ชุมนุมก็เลือก Force เพราะยังไงก็ยังมีโอกาสที่จะชนะคือ ไปวัดดวงเอา (ถ้าจะมีคนเสียชีวิต ผลตอบแทนลดลง แต่ก็ไม่ได้แย่กว่า การที่จะเลือก Peace) ถึงแม้รัฐเกิดไม่เล่นตามเกมคือถ้ารัฐบาลเลือก Peace ผู้ชุมนุมก็จะเลือก Force เพราะเท่ากับชนะเลย

ส่วนรัฐบาลก็เช่นกัน ถ้ารู้อยู่แล้วว่า ผู้ชุมนุมจะเลือก Force แล้วรัฐบาลเลือก Peace รัฐบาลจะล้มทันที เพราะฉะนั้น รัฐบาลก็จะเลือก Forceเช่นกัน



ซึ่งท้ายที่สุด เราจะเห็นว่า ทั้งสองฝ่ายจะจบลงที่การเลือก Force ทั้งคู่ และนั่นก็คือสถานการณ์ปกติของการเมืองไทย คือมีการนองเลือด แกนนำมักจะปลุกระดมผู้ชุมนุมให้ออกมาชุมนุมทุกครั้ง การชุมนุมส่วนใหญ่มักเป็นการชุมนุมที่มิชอบด้วยกฎหมาย ส่วนฝั่งรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใดก็มักจะมีการสลายการชุมนุมเมื่อสถานการณ์สุกงอมเกือบทุกครั้ง


สิ่งที่เราสามารถวิเคราะได้จากตารางนี้คือ ดุลยภาพของแนช (Nash Equilibrium)
ในเกมแรก เราจะเห็นได้ชัดเจนว่า ดุลยภาพของเกมนี้คือ แกนนำผู้ชุมนุมเลือก Force และ รัฐบาลเลือก Force ที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากในมุมมองของรัฐบาลนั้น ไม่มีความจำเป็นที่ต้องเลืิอก Peaceเลย เนื่องจาก รัฐบาลรู้อยู่แล้วว่าเมื่อตนเลืิอกForceจะไม่ถูกดำเนินคดีอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าจะรู้ว่า จะมีผู้เสียชีวิตจากการกระทำของตน แต่ผลตอบแทนก็ไม่ต่ำพอที่จะหยุดไม่ให้รัฐบาลเลือก Force ได้

ทางฝั่งผู้ชุมนุมก็เช่นกันแม้จะรู้อยู่แล้ว ว่ามีโอกาสเสียหาย และจะเกิดความสูญเสีย มีผู้เสียชีวิตจากการที่ตนเองจะเลือก Force และรัฐบาลจะเลือก Force แต่อย่างไรก็ดีผลตอบแทนนั้นไม่ต่ำพอ จะให้แกนนำผู้ชุมนุมคำนึงถึงผู้เสียชีวิตจากเลือกการกระทำของบรรดากลุ่มแกนนำ



เกมที่สอง
สถานการณ์ในอุดมคติ กรณีไม่มีกฎหมายนิรโทษกรรม และมีการใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด




สถานการณ์นี้ เป็น โลกที่เราต้องการ คือ ผู้ที่ใช้กำลังต้องรับโทษตามกฎหมาย

ในโลกใบนี้ เราจะลดผลตอบแทน(Pay-off)ของฝั่งที่ใช้ความรุนแรงลง 5 หน่วย กล่าวคือเมื่อมีการใช้ความรุนแรง (ฝั่งใดฝั่งหนึ่งเลือก Force) เมื่อมีผู้เสียชีวิต ต้องมีผู้รับผิดชอบ ซึ่งในกรณีที่ระบบกฎหมายแข็งแกร่งไม่มีกฎหมายนิรโทษกรรมนั้นจะทำให้ผู้เล่นในเกมต้องพิจารณาเพิ่มต้นทุนของตนเอง (Internalize the cost) ในกรณีที่จะต้องใช้ความรุนแรงและมีผู้เสียชีวิต

ซึ่งกรณีจะเห็นได้ชัดว่า Nash equilibrium ของเกมนี้อยู่ (Peace, Peace) เนื่องจากมีกฎหมายที่ใช้ลงโทษฝ่ายที่ใช้ความรุนแรง สังเกตได้ว่า  ตัวเลือก Peace นั้นกลายเป็น Dominant strategy (ตัวเลือกที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าเสมอ) ของทั้งสองฝั่ง นอกจากนี้แล้ว {(Peace, Peace)} ยังเป็น จุดดุลยภาพของแนชในเกมที่สองอีกด้วย เนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่า ในการที่จะเปลี่ยนไปเลือกการกระทำอื่น กล่าวคือ ระบบกฎหมายที่ไม่มีการนิรโทษกรรมนั้นสามารถลดแรงจูงใจ (Disincentive) ที่จะใช้กำลังของทั้งสองฝ่ายได้

โดยสรุป
สถานการณ์ในประเทศไทยในปัจจุบันนั้น คล้ายกับเกมที่ 1 มาก ถึงแม้ว่า โมเดลของผู้เขียนไม่อาจสรุปปัจจัยต่างๆที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนของการเมืองไทยได้ทั้งหมด แต่จากตารางที่ผู้เขียนเสนอนั้น น่าจะพอทำให้ผู้อ่านเห็นภาพว่า การที่เรามี พ.ร.บ. นิรโทษกรรมในสังคมไทยนั้นทำให้ผู้เล่นทางการเมืองใช้ความรุนแรงอยู่เรื่อยไปในเกมแห่งอำนาจเกมนี้ หากเราต้องการประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ แน่นอนว่าการประท้วงเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับระบบประชาธิปไตย แต่การประท้วงนั้นต้องเป็นไปในลักษณะสันติวิธี ซึ่งเราสามารถทำให้เป็นจริงได้ หากเราทำให้ผู้นำทางการเมืองทั้งสองฝ่ายเรียนรู้ว่า ชีวิตคนมีคุณค่า ไม่ใช่เป็นเพียงผักปลาหรือเบี้ยที่ให้ขุนเอาไปแลกกันเท่านั้น หากเราไม่ต้องการความสูญเสียนั้นเอง ประชาชนต้องให้บทเรียนกับพวกเค้า ต้องไม่มีการยกโทษให้กับการฆ่าคน หรือการพาคนไปตายอีก เรามีพ.ร.บ.นิรโทษกรรมมา 3 ฉบับแล้ว และก็เกิดพฤษภาเลือดปี53 อีก 91 ศพ  ถ้าวันนี้เรามีพ.ร.บ.นิรโทษกรรมอีกฉบับ ดุลยภาพของในเกมหน้าก็คือ (Force, Force) อีก ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าโศกนาฏกรรมครั้งนี้จะไม่ใช้ครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน





ภาคผนวก

วิธีอ่านตาราง และวิธีอ่านstrategy
การกระทำ(Action)ของฝ่ายผู้ชุมนุมอ่านทางแนวตั้ง
การกระทำของฝ่ายรัฐบาลอ่านทางแนวนอน
ตัวเลขในวงเล็บคือผลตอบแทนของทั้งสองฝั่ง
ตัวเลขที่อยู่วงเล็บทางซ้ายคือผลตอบแทนของฝ่ายผู้ชุมนุม
ตัวเลขอยู่วงเล็บทางซ้ายคือผลตอบแทนของรัฐบาล


ตัวอย่าง
จากตารางแรก เมื่อแกนนำเลือก force รัฐบาลเลือก peace เราจะเห็นว่า ผลตอบแทนคือ (10,0)
นั่นหมายถึง 10 หน่วยคือผลตอบแทนของฝ่ายผู้ชุมนุม ส่วน 0 หน่วยผลตอบแทนของรัฐบาล

Strategy ที่เขียนในวงเล็บ หมายถึง ถ้าคำแรกนั้นหมายถึง การกระทำของฝั่งผู้ชุมนุม
ส่วนคำที่สองหมายถึง การกระทำของฝั่งรัฐบาล

เกิดอะไรขึ้นบ้างในเกม
เกมที่ 1 มีพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ผู้ใช้ความรุนแรงไม่ต้องรับโทษทางกฎหมาย

1. (Force, Force)
มีการปะทะกัน สูญเสียมากทั้งคู่

ฝั่งผู้ชุมนุมได้ 3 หน่วย หมายถึง มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และแกนนำไม่ต้องรับโทษทางกฎหมาย (เนื่องจากได้รับประโยชน์จากกฎหมายนิรโทษกรรม) มีโอกาสที่รัฐบาลจะล้ม  แต่ไม่แน่นอน (50%)

ฝั่งรัฐบาลได้ 3 หน่วย หมายถึง มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ผู้สั่งสลายการชุมนุมไม่ต้องรับโทษทางกฎหมาย (เนื่องจากได้รับประโยชน์จากกฎหมายนิรโทษกรรม) มีโอกาสที่รัฐบาลจะล้ม แต่ไม่แน่นอน (50%) สลายผู้ชุมนุมได้

2. (Force, Peace)
ผู้ชุมนุมล้มรัฐบาลสำเร็จ มีความสูญเสียบ้างที่เกิดจากการใช้กำลัง

ฝั่งผู้ชุมนุมได้ 7 หน่วย หมายถึง มีผู้เสียชีวิตบ้าง และแกนนำไม่ต้องรับโทษทางกฎหมาย (เนื่องจากได้รับประโยชน์จากกฎหมายนิรโทษกรรม) และ รัฐบาลล้ม
ฝั่งรัฐบาลได้ 0 หน่วย มีผู้เสียชีิวิตบ้าง ผู้สั่งสลายการชุมนุมไม่ต้องรับโทษทางกฎหมาย(เนื่องจากไม่ได้ใช้กำลัง) รัฐบาลล้ม สลายผู้ชุมนุมไม่ได้

(Peace, Force)
รัฐบาลสลายการชุมนุมสำเร็จ มีความสูญเสียบ้างที่เกิดจากการใช้กำลัง

ฝั่งผู้ชุมนุมได้ 0 หน่วย หมายถึง มีผู้เสียชีวิตบ้าง และ แกนนำไม่ต้องรับโทษทางกฎหมาย(เนื่องจากไม่ได้ใช้กำลัง) รัฐบาลไม่ล้ม
ฝั่งรัฐบาลได้ 7 หน่วย หมายถึง มีผู้เสียชีวิตบ้าง ผู้สั่งสลายการชุมนุมไม่ต้องรับโทษทางกฎหมาย (เนื่องจากได้รับประโยชน์จากกฎหมายนิรโทษกรรม) และรัฐบาลไม่ล้ม สลายผู้ชุมนุมได้

(Peace, Peace)
ล้มรัฐบาลไม่สำเร็จ ประท้วงมีต่อไป
ฝั่งผู้ชุมนุมได้ 5 หน่วย หมายถึง ไม่มีผู้เสียชีวิต และแกนนำไม่ต้องรับโทษทางกฎหมาย(เนื่องจากไม่ได้ใช้กำลัง) แต่รัฐบาลไม่ล้ม
ฝั่งรัฐบาลได้ 5 หน่วย หมายถึง ไม่มีผู้เสียชีวิต ผู้สั่งสลายการชุมนุมไม่ต้องรับโทษทางกฎหมาย(เนื่องจากไม่ได้ใช้กำลัง) รัฐบาลไม่ล้ม สลายผู้ชุมนุมไม่ได้



เกมที่สอง
(Force, Force)
มีการปะทะกัน สูญเสียมากทั้งคู่ รับโทษตามกฎหมายทั้งคู่
ฝั่งผู้ชุมนุมได้ -2 หน่วย หมายถึง มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และ แกนนำต่้องรับโทษทางกฎหมาย มีโอกาสที่รัฐบาลจะล้ม (50%)
ฝั่งรัฐบาลได้ -2 หน่วย หมายถึง มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ผู้สั่งสลายการชุมนุมต้องรับโทษทางกฎหมาย มีโอกาสที่รัฐบาลจะล้ม (50%)

(Force, Peace)
ผู้ชุมนุมล้มรัฐบาลสำเร็จ มีความสูญเสียบ้างที่เกิดจากการใช้กำลัง
แกนนำรับโทษตามกฎหมาย
ฝั่งผู้ชุมนุมได้ 2 หน่วย หมายถึง มีผู้เสียชีวิตบ้าง แกนนำต้องรับโทษทางกฎหมาย รัฐบาลล้ม

ฝั่งรัฐบาลได้ 0 หน่วย หมายถึง มีผู้เสียชีวิตบ้าง และ แกนนำรัฐบาลไม่ต้องรับโทษทางกฎหมาย รัฐบาลล้ม

(Peace, Force)
รัฐบาลสลายการชุมนุมสำเร็จ มีความสูญเสียบ้างที่เกิดจากการใช้กำลัง
รัฐบาลรับโทษตามกฎหมายจากการใช้กำลัง
ฝั่งผู้ชุมนุมได้ 0 หน่วย หมายถึง มีผู้เสียชีวิตบ้าง และ แกนนำไม่ต้องรับโทษทางกฎหมาย รัฐบาลไม่ล้ม
ฝั่งรัฐบาลได้ 2 หน่วย หมายถึง มีผู้เสียชีวิตบ้าง ผู้สั่งสลายการชุมนุมต้องรับโทษทางกฎหมาย รัฐบาลไม่ล้ม สลายผู้ชุมนุมได้

4. (Peace, Peace)
กรณีนี้เหมือนกับเกมแรก


Comments

  1. yes simple 2x2 matrix cannot take all the complexities into account
    but the general idea behind game theory could really apply here
    which is the conclusion this article has come to
    either core power has to start learning to lose (sacrifice) to give value to the lives of people
    and another has to learn from that... not simply living out of it
    but as we all know, it is quiet impossible in reality

    Thailand has been too black and white (yellow and red).
    little greyscale would help. the more players (core powers). the more distribution of powers

    ReplyDelete
  2. My point of view, no any common theory or criterion could be referred or defined to comment or analyze or predict on Thai acting expression.

    I am confident to say Thai is strange and extra clan above of all basic descriptions. For instant, some might be seen as a good and lenient one at normal but, if there's some outer factor which provokes him/her getting outrage or being intimidated then, whoever could be retaliated to life. Or in some local area, whoever has committed any harmful act against the other but, the forgiveness could be proceeded by just only saying apologize with the repentance.

    A main problem that causing Civil War in America or some any other country was the slavish abolishment but, not in Thailand, the slavish abolishment had been done peacefully.

    This is amazing Thai.

    ReplyDelete

Post a Comment

Popular posts from this blog

ล้อการเมืองของจุฬา หายไปไหน ผมมีเรื่องมาเล่าให้ฟังครับ

TrueMove H ไม่น้อยหน้า Facebook กรณีเคมบริดจ์อนาลิติกา ทำข้อมูลลูกค้ารั่ว 46,000 ราย

ทำไมแท็กซี่จึงปฎิเสธผู้โดยสาร (แล้วจะแก้ปัญหายังไงดีนะ)